วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

5 เดือนที่ผ่านมาชีวิตเหมือนฝันร้ายหนึ่งตื่น

จริงๆ ผมเปิดบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อเอารูปเขียนที่วาดๆ ทิ้งไว้มาลง และ เอาไว้แปะพอร์ตโฟลิโองานออกแบบกราฟฟิกหลายๆ งาน แต่วันนี้เนื่องจากอากาศร้อนมาก + ขี้เกียจลงสันหลัง เลยขอเริ่มด้วยการคุยเปิดบล็อกกับคนที่เปิดเข้ามาอ่านด้วยความบังเอิญ หรือ เข้ามาอ่าน เพราะ ถูกผมบังคับมาทั้งหลายก่อนแล้วกัน;D

ผมจั่วหัวไว้แบบนี้ผมก็แปลตามความหมายมันตรงตัวล่ะนะว่า มันเหมือนฝันร้ายจริงๆ เพราะ ผมอยากให้มันเป็นแค่ฝัน ไม่อยากให้เป็นเรื่องจริงเลยแม้แต่นิดเดียว คุณเชื่อมั้ยว่า คนเรามีวิธีการทำร้าย หรือ ทำลาย การใช้ชีวิตของตัวเองอยู่หลายวิธี และส่วนมากก็มักจะเต็มใจทำกันซะด้วย หลายๆ คนอ่านแล้วอาจจะคิดว่า เฮ้ยไม่จริงล่ะ ไม่ใช่เลย นายมั่วแล้ว แต่ผมก็ยืนยันนะครับว่า จริง เราทำร้ายตัวเองกันอย่างเต็มใจจริงๆ การทำร้ายตัวเองนั้นมีอยู่หลายแบบ ทั้งแสดงออกด้วยการกระทำ และ ทำร้ายตัวเองด้วยความคิด แต่ส่วนมากมนุษย์เราจะเริ่มทำร้ายตัวเองด้วยความคิดที่มันเป็นพิษก่อน พอสมองติดพิษปุ๊บ มันก็จะค่อยๆ ลามตามมาที่การกระทำให้มันเป็นพิษด้วย และการกระทำพวกนั้นก็ไม่เคยส่งผลดีกับชีวิตเราเลย แต่เราก็ยังก้มหน้าก้มตาทำ เพราะ คิดเองเออเองว่า นี่แหละถูกต้อง นี่แหละใช่เลย นี่แหละ The way that my life has to be... แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่...

ผมเริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการไม่ยอมตัดใจจากผู้หญิงแต่งงานแล้วที่ผมรู้จักในออฟฟิส ผมคิดเอาเองว่า ถ้าเราพิสูจน์ตัวเองได้เขาจะมาทางเรา หรือ เราก็จะได้เป็นชู้ที่เขามีใจให้มากกว่าสามี ซึ่งเมื่อเริ่มคิด และเริ่มออกแรงจีบสาวแต่งงานแล้วคนนี้ ชีวิตผมมันก็เริ่มเพี้ยน เพราะ ความพยายามของผมมันประสปผลน่ะสิ เขาเริ่มมีใจให้ เราก็เริ่มเข้าไปอยู่ในโลกที่มันเพ้อเจ้อ เริ่มมีความหวัง แต่แทนที่ว่าจะมีความสุข มันกลับกลายเป็นว่า ผมเริ่มดื่มหนักขึ้นโดยที่ตัวเองก็รู้นะว่าดื่มหนักกว่าเดิมเยอะมาก แต่ยังทำต่อไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ยิ่งผมถลำลงไปกับความรู้สึกรักสาวคนนี้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งดื่มหนักขึ้นๆ จนข้าวของเริ่มหายบ่อยเหมือนตอนที่ดื่มแบบไม่รู้ตัวเองตอนหัดดื่มเหล้าใหม่ๆ เท่านั้นยังไม่พอ...เวลาล่วงไป ผมเริ่มคิดการณ์ใหญ่ที่จะทำรายตัวเองครั้งรุนแรง แต่ตอนนั้นไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ามันจะส่งผลกับชีวิตหลังจากนั้นแบบมหาศาล

ผมให้ของขวัญวาเลนไทน์กับผู้หญิงคนนั้น

ครับ ผมให้จริงๆ ให้ของขวัญกับผู้หญิงแต่งงานแล้วและเธอก็รับไปอย่างปลื้มใจ เขินอายเหมือนสาวที่เพิ่งได้ของขวัญจากหนุ่มที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานอีกด้วย ตอนนั้นผมแฮปปี้มาก เหมือนได้ทำสิ่งที่ดี แต่ผลที่ได้รับกลับมา คือ ผมกลับดื่มหนักยิ่งกว่าเดิมที่ก็หนักอยู่แล้ว และเริ่มบอกตัวเองว่า ก็แค่อยากเมา ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับที่ไปรักเมียชาวบ้านเขาเลย ทั้งที่จริงๆ มันเป็นสาเหตุหลักเลยซะด้วยซ้ำไป... เงินที่ได้มา นอกจากจะเอามาใช้จ่ายทั่วไป ซื้อแผ่นเกมที่ชอบแล้ว มันก็จะไปลงปากเหยือกเบียร์ ผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาเรื่อย จนวันหนึ่ง...วันที่ผมเมาแล้วโดนแท็กซี่คันที่ผมนั่งมาปล่อยทิ้งไว้ให้นอนริมถนน พอตื่นมาก็รู้ว่า เพิ่งโดนปล้นจนหมดตัว

หมดตัว...

...หมดตัวจริงๆ โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ และอุปกรณ์ทำมา-หากินอย่าง Graphic Tablet ราคาร่วมหมื่นห้า นี่ไม่รวมถึงสภาพน่าทุเรศที่พาตัวเองเข้าบ้านมาแบบคนจรจัด แถมยังอ้วกจนแทบจับไข้อีกทั้งวันอีกนะ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เฮ้ยธรรมดาน่ะ ของหายเดี๋ยวก็ซื้อใหม่ได้ ใช่ผมก็คิดแบบนั้นในวันที่ผมโดนปล้นหมดตัววันนั้น และเริ่มหาวิธีโกหกแม่และคนในบ้านว่าของที่ไม่ได้เอากลับบ้านมานั้นยังอยู่ วันต่อมาผมตั้งใจอย่างแน่วแน่มากที่จะบอกที่บ้านว่า ของผมที่โกหกไปก่อนนีแล้วว่าฝากไว้กับเพื่อนนั้นได้โดนโจรขโมยไปจากรถเพื่อนในวันนี้ แต่แน่นอน...แม่ก็คือแม่ แม่เลี้ยงเรามาทั้งชีวิต แม่ย่อมเข้าใจว่าเราโกหก ผมโดนด่าซะหูชาในวันนั้นก่อนจะเมาปริบกลับบ้านไปในเวลาที่ผมคิดว่าแม่หลับแล้ว

แต่แม่ไม่ได้นอน

แม่รอผมอยู่

คืนนั้นแม่ตัดพ้อผมหลายอย่าง แต่ที่ผมจำได้ไม่ลืมคือ แม่ร้องไห้ และบอกกับผมว่า แม่คงเลี้ยงดูมาไม่ดีพอ ลูกเลยมาเสียคนตอนอายุจะสามสิบ ในวินาทีนั้นทุกอย่างมันพังทลายลงมาหมด ผมร้องไห้แบบไม่อายและกอดแม่แน่น 

ผมทำร้ายตัวเองมาขนาดไหนกันหนอ... 

ทำมาจนแม่รู้สึกได้และถึงกับโทษตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ? 

มันใช่แล้วเหรอ? 

มันคุ้มมั้ยกับที่จะดึงดันไปแย่งเมียเขามาอย่างนี้แล้วตัวเองก็เละเทะขนาดนี้? 

คืนนั้นผมคิดตอนที่กอดแม่ว่า ทุกอย่างที่เลวร้ายมาตลอด 5 เดือนที่ผ่านมามันต้องจบ หนี้น้ำตาแม่ครั้งนี้ผมจะต้องใช้คืนด้วยการเลิกอะไรแบบนี้ซักที คืนนั้นผมเข้านอนและน้ำตาไหลจนหลับไป

เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก การตัดใจได้แล้วมันดีอย่างนี้นี่เอง เราไม่เจ็บช้ำอะไรเลย เราไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องกลับไปดื่มหนักแล้วหลอกตัวเองว่าอยากเมาอีกทั้งที่จริงๆ เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราเป็นยังไง อ่านแล้วเหมือนโกหกแต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับเราตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายหนึ่งตื่นเท่านั้น

คิดดูตอนนี้แล้วก็ตลกตัวเองที่เคยสงสัยและนึกขำในเนื้อเพลงก้อนหินก้อนนั้นของ โรส ศิรินทิพย์ เพราะ มันก็จริงอย่างโรสบอกในเพลง...ในชีวิตเราไม่มีใครทำร้ายตัวเราได้รุนแรงและมากเท่าเราทำกับตัวเองแล้ว และพิษจากการทำร้ายตัวเองนั่นแหละจะพลอยทำให้คนอื่นโดนพิษของเราทำร้ายไปด้วย รักตัวเองให้มากๆ ดูแลความคิดตัวเองให้ดีๆ แล้วเราจะได้ไม่ต้องทำร้ายใครอย่างที่ไม่ตั้งใจ เพราะ บางครั้งฝันร้ายมันก็ไม่ได้จะจบลงแค่ 5 เดือนหรอกนะ ถ้าเราไม่รู้ตัวเองว่า กำลังทำอะไรอยู่

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ระวิบุก

Unknown กล่าวว่า...

สู้เค้าพี่ แค่นี้พี่ชายผมไม่แพ้หรอก