วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

อัพรูปแล้วคร้าบ....

เอาล่ะข้ามวันพอดี ได้เวลาอัพบล็อกใหม่กันเลยล่ะนะ

ไหนๆ ก็เกริ่นไว้แล้วว่า จะเอารูปที่วาดมาลง ผมก็ขอเอารูปที่เพิ่งวาดล่าสุดมาลงแล้วกัน ทั้งหมดมันก็มาจากโครงเรื่องที่ผมอยากวาดเป็นคอมิคใจแทบขาดนี่แหละ

เริ่มด้วยเจ้านี่ก่อน...รูปนี้เป็นรูปที่ผมใช้เวลาไปพอควร เพราะ ไม่ได้จับดินสอนานเอาเรื่องอยู่แต่งานก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ รูปนี้กะจะเอาไว้ใช้เป็นไตเติ้ลตอนแรกของซีรี่ย์ส

รูปนี้ผมตั้งใจออกแบบให้ตัวนี้ดูแล้วเป็นสาวแสบๆ ตามบาร์เหล้า และตามบทตัวละครตัวนี้ต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรสลัดใจบุญอยู่แล้วด้วย เลยวาดออกมาให้ดูแล้วออกแนวโจรสลัดนิดๆ เซ็กซี่หน่อยๆ และต้องการให้ดูแขกๆ นิดนึง

ตัวนี้ผมวางบทให้เป็นหัวหน้านักรบของเกาะที่ตัวเอกเคยใช้ชีวิตอยู่ เป็นประเภทสาวแกร่งแต่แอบเซ้นสิทีฟ ได้แรงบันดาลใจเรื่องชุดมาจากผู้หญิงอาข่าของจีนกับไทย และเอามาประยุกต์กับความชอบส่วนตัวเล็กน้อย

ตอนนี้งานที่เพิ่งวาดใหม่อีกครั้งอาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางบ้าง แต่ก็สัญญานะครับว่าจะทำให้ดีกว่านี้เรื่อยๆ ไว้มีตัวอะไรใหม่ๆ หรือ คอนเซ็ปต์ที่ปิ๊งขึ้นและวาดไว้ก็จะเอามาลงที่นี่อีกที

ชอบไม่ชอบยังไงบอกกันด้วยเน่อ

(Just like) Starting Over

วันนี้เป็นวันว่างๆ อีกวันในที่ทำงาน เพราะ ที่ทำงานต้องโละระบบการตรวจงาน-ส่งงานกันใหม่ ผมเลยมีเวลามานั่งอัพบล็อกในที่ทำงานซะอย่างนั้น

พูดถึงเรื่องโละใหม่และเริ่มต้นใหม่ เราเคยลองคิดกันบ้างมั้ยว่า ในชีวิตเรามีการเริ่มต้นใหม่อะไรกันบ้างนับแต่จำความกันได้ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ๆ ในโรงเรียนอนุบาล เริ่มหัดเขียน เริ่มหัดอ่าน เริ่มหัดวาดรูป เริ่มหัดชอบหญิง / ชาย เริ่มริที่จะเมาเหล้า-ดูดบุหรี่ และ เริ่มต้นอะไรอีกสารพัด มาลองๆ คิดดูแล้ว ชีวิตคนเรามันสามารถมีการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ ได้ตลอดโดยที่เราเองก็ไม่เคยนับซะด้วยสิว่าเริ่มต้นอะไรในชีวิตไปกี่ครั้งแล้ว

บางครั้งก็เริ่มต้นกับสิ่งใหม่ไปเลย

บางครั้งก็เริ่มต้นใหม่กับเรื่องเก่าๆ ที่เคยทำมาแต่หยุดไป เพราะ เหตุผลที่เราอ้างได้สารพัดว่าทำไม

ชีวิตผมตั้งแต่จบมหาลัยมานี่ก็เจอกับการเริ่มต้นใหม่ในชีวิตการทำงาน และ ความรักมาพอสมควร แต่กลับมีอยู่เรื่องนึง ที่คัวผมเองเคยเดินออกจากเส้นทางนั้นมา เพราะ คิดว่า แม่งไม่มีกินแหงๆ ทั้งที่ก่อนหน้าที่จะเริ่มทำอาชีพนี้ผมเองนี่แหละที่เป็นคนฟาดฟันกับที่บ้านผมแทบแย่ พิสูจน์ตัวเองตั้งไม่รู้กี่ดอก เกือบจะเรียนไม่จบก็เพราะมัน แต่สุดท้ายผมกลับเดินหนีเส้นทางนี้ออกมาดื้อๆ ซะงั้น

ผมกำลังพูดอาชีพนักเขียนการ์ตูน หรือ คอมิคอาร์ติสต์ 

ผมจำได้ว่าผมเริ่มฝันที่จะทำอาชีพนี้มาตั้งแต่ซักประมาณ 8 ขวบได้ หลังจากได้ดูดราก้อนบอลล์ และ เซย่าเทพบุตรหมัดดาวหาง หัดวาดอะไรเองมาเรื่อย สู้มาตลอดเรียนมหาลัยก็เอาเงินการ์ตูนนี่แหละมาจ่ายเรียน เพราะ ตอนนั้นเริ่มทำงานที่สำนักพิมพ์เล็กๆ แล้ว ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ทำไปเถอะ ทำไป ไม่มีจะแดกก็ช่างแม่ง ทนได้เว้ย แต่ความจริงในชีวิตกับสิ่งที่เราอยากให้มันเป็นมันมักจะสวนทางกันเสมอ เมื่อมาวันนึงที่ผมรู้สึกว่า เราไปต่อกับอาชีพนี้ไม่ได้ เราต้องหาอย่างอื่นทำและทำอาชีพนี้เป็นงานอดิเรกแทน ผมก็เดินออกมาหางานที่เงินดีกว่า

แรกๆ ก็รู้สึกว่าดีนะ มีเงินใช้เยอะขึ้น และเรายังวาดรูปได้เหมือนเดิม แต่หลังจากใช้ชีวิตตามกระแสตลาดงานกราฟฟิกของบ้านเราได้ซักระยะ (ประมาณ 5 ปีได้) ผมกลับคิดว่า ผมโหยหาอะไรบางอย่าง อะไรนะที่มันหายไป...

นั่นสิ...อะไรหว่า

คิดมาเรื่อย จนกระทั่งวันที่เกิดเหตุเมาปริบชีวิตเปลี่ยนในบทความที่แล้วนี่แหละถึงคิดออกว่า ขาดอะไร

เราขาดแรงบันดาลใจไปซะแล้ว ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างผมมั้ย แต่ระยะหลังๆ ผมรู้สึกตัวเลยว่า เวลาหลังเลิกงานมันช่างเหนื่อยหนักสาหัสเหลือเกิน เราอยากกลับบ้าน ไปนั่งเล่นเกมที่เราซื้อมาให้จบไปทุกโหมด ไม่ก็ไปนั่งส่องหญิงเพลินๆ นั่งจีบสาวเชียร์เบียร์ ที่ร้านเหล้าร้านประจำ ทำอย่างนี้ซะบ่อยจนสิ่งที่เคยเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตเรามาตลอด 20 ปีมันเริ่มห่างหายไปโดยที่เราไม่ตั้งใจ

มาวันนึงพี่ที่ผมรู้จักเขาติดต่อมาและเอ่ยปากขอพอร์ตโฟลิโอล่าสุดที่เป็นรูปวาด เราก็สะอีกไป เพราะ หลังๆ มันมีแต่พอร์ตงานกราฟฟิกกับงานออกแบบตัวการ์ตูนที่เป็นเวกเตอร์ งานวาดด้วยมือที่เคยถนัดมากนี่ไม่ได้ทำเลย แต่เราก็อยากรับงานนี เพราะ ตังค์ไม่ค่อยจะมีแล้ว และมีอะไรบางอย่างมันผลักให้เรารับงานนี้ทันที

ผมใช้เวลาวาดรูปแรกอยู่นาน นับเป็นวันเลยก็ได้ ทั้งที่แต่ก่อนเคยแก้งานส่งบ.ก. 16 หน้าได้ใน 1 คืนซะด้วยซ้ำไป วาดเสร็จผมก็ส่งทันที ไม่ทันจะครึ่งชั่วโมงดี ลูกค้าก็ติดต่อกลับมา บอกว่าชอบมาก และอยากนัดคุยงานกันให้ไวที่สุด

ในตอนนั้นมันมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มันคล้ายกับได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันและมันทักว่า "ไงวะมึง ไม่เจอกันนานเลยนะ จำกูได้มั้ยเนี่ย" 

มันเป็นเพื่อนเก่าที่ชื่อว่าแรงบันดาลใจ

อาจจะฟังแล้วดูตลกแต่แรงบันดาลใจมันมาจากอะไรได้หลายๆ อย่างนะ และกับนักเขียนการ์ตูนเนี่ยคำชมของแฟนการ์ตูนกับเสียงตอบรับของ บ.ก. มันเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญกับนักเขียนการ์ตูนมากนะ มันสามารถทำให้อยู่กันข้ามวันข้ามคืนได้เพียงแค่ให้งานเสร็จ เพราะ มีคนรองานเราอยู่ นักเขียนการ์ตูนอยู่ได้ เพราะ มีแฟนการ์ตูนใส่ใจ แต่ผมเลือกที่จะออกมาเดินในทางของพนักงานออกแบบกราฟฟิกกินเงินเดือนที่เราต้องใส่ใจกับลูกค้า ใส่ใจกับคำสั่งของเจ้านาย ต้องแก้อะไรที่มันดูดีๆ ให้มันดูแย่ เพียงแค่ลูกค้าบอกว่าดี เจ้านายบอกอย่างนี้แหละโดน เจออะไรแบบนี้นานๆ เข้าชีวิตมันก็จืดไปในที่สุด และกับอดีตนักเขียนการ์ตูนอาชีพอย่างผมที่ไฟมันกำลังจะมอดไปพร้อมกับอายุที่ใกล้เลข 3 และ ภาระต่างๆ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาในช่วงที่เป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น คำชมคำนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำขันเล็กๆ ที่ราดลงมาบนหญ้าที่กำลังจะเฉาตายให้มันกลับมีชีวิตต่อได้ด้วยตัวมันเอง

การกลับมาวาดรูปใหม่อีกครั้งนี้ผมรู้สึกเหมือนตอนที่เอางานไปให้ บ.ก. หนังสือดูครั้งที่เป็นเด็กปี2 เอ๊าจริงๆ ฟังดูเว่อนะ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ มันกลับมาสนุกกับงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อมาก จริงๆ การเริ่มต้นอะไรใหม่หลายๆ ครั้งมันดูเหมือนคนไม่เอาไหน แต่ยางครั้งการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ในทางเดินเก่าๆ มันก็สนุกดี หรือใครจะปฏิเสธว่า การได้เจอและนั่งลงคุยกับเพื่อนเก่านานๆ มันสนุกและเพลินขนาดไหน ตอนนี้ผมยังอยู่ที่ออฟฟิส เดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะเอารูปที่วาดวันนี้ขึ้นบล็อกซะที 

ก็บล็อกนี้มันบล็อกสำหรับแปะงานนิ จะไม่แปะงานเลย ลงแต่บทความอย่างเดียวมันก็แปลกไปหน่อย 

จริงมั้ย?





วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

5 เดือนที่ผ่านมาชีวิตเหมือนฝันร้ายหนึ่งตื่น

จริงๆ ผมเปิดบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อเอารูปเขียนที่วาดๆ ทิ้งไว้มาลง และ เอาไว้แปะพอร์ตโฟลิโองานออกแบบกราฟฟิกหลายๆ งาน แต่วันนี้เนื่องจากอากาศร้อนมาก + ขี้เกียจลงสันหลัง เลยขอเริ่มด้วยการคุยเปิดบล็อกกับคนที่เปิดเข้ามาอ่านด้วยความบังเอิญ หรือ เข้ามาอ่าน เพราะ ถูกผมบังคับมาทั้งหลายก่อนแล้วกัน;D

ผมจั่วหัวไว้แบบนี้ผมก็แปลตามความหมายมันตรงตัวล่ะนะว่า มันเหมือนฝันร้ายจริงๆ เพราะ ผมอยากให้มันเป็นแค่ฝัน ไม่อยากให้เป็นเรื่องจริงเลยแม้แต่นิดเดียว คุณเชื่อมั้ยว่า คนเรามีวิธีการทำร้าย หรือ ทำลาย การใช้ชีวิตของตัวเองอยู่หลายวิธี และส่วนมากก็มักจะเต็มใจทำกันซะด้วย หลายๆ คนอ่านแล้วอาจจะคิดว่า เฮ้ยไม่จริงล่ะ ไม่ใช่เลย นายมั่วแล้ว แต่ผมก็ยืนยันนะครับว่า จริง เราทำร้ายตัวเองกันอย่างเต็มใจจริงๆ การทำร้ายตัวเองนั้นมีอยู่หลายแบบ ทั้งแสดงออกด้วยการกระทำ และ ทำร้ายตัวเองด้วยความคิด แต่ส่วนมากมนุษย์เราจะเริ่มทำร้ายตัวเองด้วยความคิดที่มันเป็นพิษก่อน พอสมองติดพิษปุ๊บ มันก็จะค่อยๆ ลามตามมาที่การกระทำให้มันเป็นพิษด้วย และการกระทำพวกนั้นก็ไม่เคยส่งผลดีกับชีวิตเราเลย แต่เราก็ยังก้มหน้าก้มตาทำ เพราะ คิดเองเออเองว่า นี่แหละถูกต้อง นี่แหละใช่เลย นี่แหละ The way that my life has to be... แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่...

ผมเริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการไม่ยอมตัดใจจากผู้หญิงแต่งงานแล้วที่ผมรู้จักในออฟฟิส ผมคิดเอาเองว่า ถ้าเราพิสูจน์ตัวเองได้เขาจะมาทางเรา หรือ เราก็จะได้เป็นชู้ที่เขามีใจให้มากกว่าสามี ซึ่งเมื่อเริ่มคิด และเริ่มออกแรงจีบสาวแต่งงานแล้วคนนี้ ชีวิตผมมันก็เริ่มเพี้ยน เพราะ ความพยายามของผมมันประสปผลน่ะสิ เขาเริ่มมีใจให้ เราก็เริ่มเข้าไปอยู่ในโลกที่มันเพ้อเจ้อ เริ่มมีความหวัง แต่แทนที่ว่าจะมีความสุข มันกลับกลายเป็นว่า ผมเริ่มดื่มหนักขึ้นโดยที่ตัวเองก็รู้นะว่าดื่มหนักกว่าเดิมเยอะมาก แต่ยังทำต่อไป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ยิ่งผมถลำลงไปกับความรู้สึกรักสาวคนนี้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งดื่มหนักขึ้นๆ จนข้าวของเริ่มหายบ่อยเหมือนตอนที่ดื่มแบบไม่รู้ตัวเองตอนหัดดื่มเหล้าใหม่ๆ เท่านั้นยังไม่พอ...เวลาล่วงไป ผมเริ่มคิดการณ์ใหญ่ที่จะทำรายตัวเองครั้งรุนแรง แต่ตอนนั้นไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ามันจะส่งผลกับชีวิตหลังจากนั้นแบบมหาศาล

ผมให้ของขวัญวาเลนไทน์กับผู้หญิงคนนั้น

ครับ ผมให้จริงๆ ให้ของขวัญกับผู้หญิงแต่งงานแล้วและเธอก็รับไปอย่างปลื้มใจ เขินอายเหมือนสาวที่เพิ่งได้ของขวัญจากหนุ่มที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานอีกด้วย ตอนนั้นผมแฮปปี้มาก เหมือนได้ทำสิ่งที่ดี แต่ผลที่ได้รับกลับมา คือ ผมกลับดื่มหนักยิ่งกว่าเดิมที่ก็หนักอยู่แล้ว และเริ่มบอกตัวเองว่า ก็แค่อยากเมา ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับที่ไปรักเมียชาวบ้านเขาเลย ทั้งที่จริงๆ มันเป็นสาเหตุหลักเลยซะด้วยซ้ำไป... เงินที่ได้มา นอกจากจะเอามาใช้จ่ายทั่วไป ซื้อแผ่นเกมที่ชอบแล้ว มันก็จะไปลงปากเหยือกเบียร์ ผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาเรื่อย จนวันหนึ่ง...วันที่ผมเมาแล้วโดนแท็กซี่คันที่ผมนั่งมาปล่อยทิ้งไว้ให้นอนริมถนน พอตื่นมาก็รู้ว่า เพิ่งโดนปล้นจนหมดตัว

หมดตัว...

...หมดตัวจริงๆ โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ และอุปกรณ์ทำมา-หากินอย่าง Graphic Tablet ราคาร่วมหมื่นห้า นี่ไม่รวมถึงสภาพน่าทุเรศที่พาตัวเองเข้าบ้านมาแบบคนจรจัด แถมยังอ้วกจนแทบจับไข้อีกทั้งวันอีกนะ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เฮ้ยธรรมดาน่ะ ของหายเดี๋ยวก็ซื้อใหม่ได้ ใช่ผมก็คิดแบบนั้นในวันที่ผมโดนปล้นหมดตัววันนั้น และเริ่มหาวิธีโกหกแม่และคนในบ้านว่าของที่ไม่ได้เอากลับบ้านมานั้นยังอยู่ วันต่อมาผมตั้งใจอย่างแน่วแน่มากที่จะบอกที่บ้านว่า ของผมที่โกหกไปก่อนนีแล้วว่าฝากไว้กับเพื่อนนั้นได้โดนโจรขโมยไปจากรถเพื่อนในวันนี้ แต่แน่นอน...แม่ก็คือแม่ แม่เลี้ยงเรามาทั้งชีวิต แม่ย่อมเข้าใจว่าเราโกหก ผมโดนด่าซะหูชาในวันนั้นก่อนจะเมาปริบกลับบ้านไปในเวลาที่ผมคิดว่าแม่หลับแล้ว

แต่แม่ไม่ได้นอน

แม่รอผมอยู่

คืนนั้นแม่ตัดพ้อผมหลายอย่าง แต่ที่ผมจำได้ไม่ลืมคือ แม่ร้องไห้ และบอกกับผมว่า แม่คงเลี้ยงดูมาไม่ดีพอ ลูกเลยมาเสียคนตอนอายุจะสามสิบ ในวินาทีนั้นทุกอย่างมันพังทลายลงมาหมด ผมร้องไห้แบบไม่อายและกอดแม่แน่น 

ผมทำร้ายตัวเองมาขนาดไหนกันหนอ... 

ทำมาจนแม่รู้สึกได้และถึงกับโทษตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ? 

มันใช่แล้วเหรอ? 

มันคุ้มมั้ยกับที่จะดึงดันไปแย่งเมียเขามาอย่างนี้แล้วตัวเองก็เละเทะขนาดนี้? 

คืนนั้นผมคิดตอนที่กอดแม่ว่า ทุกอย่างที่เลวร้ายมาตลอด 5 เดือนที่ผ่านมามันต้องจบ หนี้น้ำตาแม่ครั้งนี้ผมจะต้องใช้คืนด้วยการเลิกอะไรแบบนี้ซักที คืนนั้นผมเข้านอนและน้ำตาไหลจนหลับไป

เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก การตัดใจได้แล้วมันดีอย่างนี้นี่เอง เราไม่เจ็บช้ำอะไรเลย เราไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องกลับไปดื่มหนักแล้วหลอกตัวเองว่าอยากเมาอีกทั้งที่จริงๆ เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราเป็นยังไง อ่านแล้วเหมือนโกหกแต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับเราตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายหนึ่งตื่นเท่านั้น

คิดดูตอนนี้แล้วก็ตลกตัวเองที่เคยสงสัยและนึกขำในเนื้อเพลงก้อนหินก้อนนั้นของ โรส ศิรินทิพย์ เพราะ มันก็จริงอย่างโรสบอกในเพลง...ในชีวิตเราไม่มีใครทำร้ายตัวเราได้รุนแรงและมากเท่าเราทำกับตัวเองแล้ว และพิษจากการทำร้ายตัวเองนั่นแหละจะพลอยทำให้คนอื่นโดนพิษของเราทำร้ายไปด้วย รักตัวเองให้มากๆ ดูแลความคิดตัวเองให้ดีๆ แล้วเราจะได้ไม่ต้องทำร้ายใครอย่างที่ไม่ตั้งใจ เพราะ บางครั้งฝันร้ายมันก็ไม่ได้จะจบลงแค่ 5 เดือนหรอกนะ ถ้าเราไม่รู้ตัวเองว่า กำลังทำอะไรอยู่